วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554

Valentine's Day

วันวาเลนไทน์นั้นมีมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมัน ในกรุงโรมสมัยก่อนนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ จะเป็นวันเฉลิมฉลองของจูโน่ซึ่งเป็นราชินีแห่งเหล่าเทพและเทพธิดาของโรมัน ชาวโรมันรู้จักเธอในนามของเทพธิดาแห่ง อิสตรีและการแต่งงาน และในวันถัดมาคือวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ก็จะเป็นวันเริ่มต้นงานเลี้ยงของ Lupercalia การดำเนินชีวิตของเด็กหนุ่มและเด็กสาวในสมัยนั้นจะถูกแยกจากกันอย่างเด็ดขาด แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีประเพณี อย่างนึง ซึ่งเด็กหนุ่มสาวยังสืบทอดต่อกันมา คือ คืนก่อนวันเฉลิมฉลอง Lupercalia นั้นชื่อของเด็กสาวทุกคนจะถูกเขียนลงในเศษกระดาษเล็ก ๆ และจะใส่เอาไว้ในเหยือก เด็กหนุ่มแต่ละคนจะดึงชื่อของเด็กสาวออกจากเหยือก แล้วหลังจากนั้นก็จะจับคู่กันในงานเฉลิมฉลอง บางครั้งการจับคู่นี้ ท้ายที่สุดก็จะจบลงด้วยการที่เด็กหนุ่มและเด็กสาวทั้งสองนั้นได้ตกหลุมรักกันและแต่งงานกันในที่สุด
ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง (Claudius II) นั้น กรุงโรมได้เกิดสงครามหลาย ครั้ง และคลอดิอุสเองก็ประสบกับปัญหาในการที่จะหาทหารจำนวนมากมายมหาศาลมาเข้าร่วมในศึกสงคราม และเขาเชื่อว่าเหตุผลสำคัญก็คือ ผู้ชายโรมันหลายคนไม่ต้องการจากครอบครัวและคนอันเป็นที่รักไป และด้วยเหตุผลนี้เอง ทำให้จักรพรรดิคลอดิอุสประกาศให้ยกเลิกงานแต่งงานและงานหมั้นทั้งหมดในกรุงโรม ถึงกระนั้นก็ตาม ยังมีนักบุญผู้ใจดีคนหนึ่งซึ่งชื่อว่า ท่านนักบุญวาเลนไทน์ ท่านเป็นพระที่กรุงโรมในสมัยของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง ท่านนักบุญวาเลนไทน์และนักบุญมาริอุส ได้จัดตั้งกลุ่มองค์กรเล็ก ๆ เพื่อช่วยเหลือชาวคริสเตียนที่ตกทุกข์ได้ยากเหล่านี้ และได้จัดให้มีการแต่งงานของคู่รักอย่างลับ ๆ ด้วย  และจากการกระทำเหล่านี้เอง ทำให้นักบุญวาเลนไทน์ถูกจับและถูกตัดสินประหารโดยการตัดศีรษะ ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ประมาณปีคริสต์ศักราชที่ 270 ซึ่งถือเป็นวันที่ท่านได้ทนทุกข์ทรมานและเสียสละเพื่อเพื่อนมนุษย์
เมื่อเห็นนักบุญวาเลนไทน์ดังนั้น ท่านผู้ว่าราชการเกิดความอิจฉาไอเหี้ย และต้องการกำจัดท่านวาเลนไทน์ จึงจับท่านวาเลนไทน์ไปขังไว้ในคุกมืด แล้วใช้ไม้เป็นปุ่มเป็นตาเฆี่ยนท่านอย่างสาหัส ที่สุดก็นำท่านไปตัดศีรษะ นักบุญวาเลนไทน์เป็นองค์อุปถัมภ์ของชาวเมืองตารัสก็อง(ภาคใต้ของฝรั่งเศส)  การส่งดอกไม้วันวาเลนไทน์  มนุษย์ได้ใช้ดอกไม้เป็นสื่อในการแสดงความรักต่อกันมานานแล้ว เราอาจจะคิดว่าดอกไม้เป็นสิ่งที่สามารถใช้สื่อความหมายเฉพาะความรักของหนุ่มสาวเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วดอกไม้แต่ละชนิดสามารถสื่อความรักได้หลายรูปแบบ  - - * กุเกียดเมือง (Red Rose) : จะใช้ในความหมายแทน ประโยคที่ว่า "ฉันรักเธอ" - * กุหลาบขาว (White Rose) : กุหลาบขาวแทนความหมายแห่งความรักอันบริสุทธิ์ - * กุหลาบชมพู (Pink Rose) : มักถูกใช้แทนความรักแบบโรแมนติก และความเสน่หาต่อกัน - * กุหลาบเหลือง (Yellow Rose) : สีเหลืองเป็นสีแห่งความสดใส แทนความรักแบบเพื่อน


การมอบช็อกโกแลตในวันวาเลนไทน์



                ปัจจุบัน ปริมาณช็อกโกแลตมากกว่าครึ่งที่ขายได้ในหนึ่งปีในเทศกาลวาเลนไทน์ในประเทศ ญี่ปุ่นนั้น ผู้หญิงไม่ได้ให้ช็อกโกแลตเป็นของขวัญเฉพาะแก่ผู้ชายที่เธอรักเท่านั้น พวกเธอยังซื้อช็อกโกแลตให้เพื่อนร่วมงาน เจ้านาย เื่พื่อนผู้ชาย พี่น้องผู้ชาย หรือกระทั้งพ่อ เพื่อไม่ให้ผู้ชายเหล่านั้นรู้สึกเสียหน้าที่ไม่มีใครให้ช็อกโกแลต ช็อกโกแลตที่ผู้หญิงให้ผู้ชายที่เธอไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรด้วยจะเรียกว่า "Giri-choco" หรือช็อกโกแลตที่ให้ตามมารยาทหรือหน้าที่ ดั้งนั้น จึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติที่ในช่วงเทศกาลผู้หญิงญี่ปุ่นจะหอบเอาช็อกโกแลต 20-30 กล่องมาแจกจ่ายให้ผู้ชายทั่วสำนักงานรวมไปถึุงผู้ชายที่ติดต่อกันเป็นประจำ ด้วยราคาของช็อกโกแลตชนิดนี้โดยเฉลี่ยคือตั้งแต่ 100-200 เยนต่ออัน สำหรับผู้ชายที่เธอรัก พวกเธฮจะใ้ห้ช็อกโกแลตพร้อมกับของขวัญพิเศษอื่นๆ เช่น เนคไท เสื้อผ้าช็อกโกแลตที่มอบให้ผู้ชายที่เธอชอบอย่างจริงจังนั้นเรียกว่า "honmei-choco" ซึ่งมีราคาแพงกว่า " Giri- choco" และบางครั้งเป็นช็อกโกแลตแบบโฮมเมด ซึ่งในประเทศไทยเริ่มมีร้านค้าที่บริการจัดส่งช็อกโกแลตให้กับลูกค้าและคนพิเศษในโอกาสและเทศกาลต่างๆรวมไปถึงเทศกาลวาเลนไทน์ ด้วยบริการไปรษณีย์ EMS ซึ่งจะบรรจุลงกล่องโฟมพร้อมเจลน้ำแข็งสำหรับรักษาอุณหภูมิ เช่นร้าน โฮมช็อกโกแลต  เป็นต้น 

วันจันทร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2554

ครั้งหนึ่งในชีวิต เราคือผู้พิชิตภูกระดึง

ครั้งหนึ่งในชีวิตเคยพิชิตภูกระดึง


เริ่มต้นจากการเดินทางซึ่งฉันไปกับเพื่อนๆ ไปกัน 9 คน ไปขึ้นรถโดยสารที่ขอนแก่นนั่งรถขอนแก่น-เลย ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง เมื่อถึงหลังจากนั้นก็ไปพักที่บ้านเพื่อนที่อยู่ภูกระดึง นอนอยู่บ้านเพื่อนคืนนึงก่อน เมื่อมาถึงบ้านเพื่อนรู้สึกว่าหนาวมาก หนาวกว่าที่อยู่สารคาม

เช้าวันรุ่งขึ้นของการขึ้นภูกระดึง ตื่นแต่เช้ามากออกจากบ้านเพื่อนประมาณ 07.30 น. เมื่อไปถึงอุทยานก็เริ่มถ่ายรูปกันเลย ถ่ายทุกป้าย เมื่อถ่ายรูปเสร็จก็ไปที่ศูนย์บริการรับหาบของ ซึ่งจ้างลูกหาบหาบกระเป๋าเพราะว่าคงแบกขึ้นไม่ไหว เมื่อจ้างเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เริ่มเดินทางขึ้นภูกระดึง

ระยะทางในการขึ้นภูกระดึงประมาณ 9 กิโลเมตร เป็นทางขึ้นเขาประมาณ 6 กิโลเมตร และทางเดินเท้า (ทางราบ) ประมาณ 3 กิโลเมตร ฉันและเพื่อนๆ ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมง ซึ่งนานพอสมควร ระหว่างทางที่เราเดินขึ้นนั้น จะมีที่พักแต่ละชั้น ซึ่งเขาเรียกกันว่า "ซำ" ซึ่งภูกระดึงนั้นมีทั้งหมด 10 ซำ 

ซึ่งซำแรกก็คือ ซำแฮก ซึ่งมีระยะทางห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว 1,000 เมตร เป็นซำที่โหดมาก ทางขึ้นเป็นทางขรุขระมีทั้งหินและบรรไดและทางก็ลาดชันมาก เมื่อขึ้นไปถึงซำแฮกก็ซื้อน้ำดื่มทันที และน้ำที่ซื้อนั้นแพงมาก ที่แพงก็เพราะว่าแม่ค้าพ่อค้าก็ต้องจ้างลูกหาบหาบของขึ้นมาขายเช่นกัน เมื่อพักหายเหนื่อยแล้วก็เดินทางต่อ ซำที่โหดที่สุดสำหรับฉันคิดว่า ซำแรกและซำสุดท้าย ซึ่งซำสุดท้ายจะเป็นซำที่ปีนขึ้นเขาจริงๆ สูงและชันมาก น่าเสียดายที่ไม่ค่อยได้ถ่ายรูปในการเดินทางขึ้นภูกระดึงเพราะว่าเหนื่อยกับการเดินทางและมือก็ต้องคอยจับต้นไม้บ้าง จับหินบ้าง จับราวเหล็กที่ทางอุทยานทำไว้บ้าง เมื่อไปถึง หลังแปก้อต้องเดินต่อไปอีกประมาณ 3 กิโลเมตร

เมื่อถึงที่พักก็รอรับกระเป๋าจากลูกหาบ และไปกางเต้นท์ตรงลานที่ทางอุทยานจัดไว้ให้ เมื่อกางเต้นท์เสร็จแล้วก็ไปอาบน้ำ ซึ่งน้ำนั้นเย็นมากๆ แถมเพื่อนโดนทากกัดอีก เป็นการอาบน้ำที่ลำบากมาก อาบเสร็จแล้วก็ไปกินข้าว ซึ่งข้าวอยู่บนภูจานนึงก็เกือบห้าสิบบาท ของทุกอย่างที่อยู่บนภูกระดึงแพงหมดแต่นักท่องเที่ยวก็เข้าใจว่าที่แพงนั้นเพราะอะไร หลังจากนั้นก็เข้าเต้นท์นอน ซึ่งหนาวมาก ตื่นเช้ามาเต้นท์เปียกหมดเลย เพราะว่าไม่ได้เช่าเต้นท์กับทางอุทยาน เนื่องจากเพื่อนมีญาติอยู่บนภูกระดึงก็เลยได้ทั้งเต้นท์และผ้าห่ม ตอนแรกพูดกันว่าจะตื่นแต่เช้าเพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้น แต่ก็ไม่มีใครลุก  เพราะว่าแต่ละคนลุกไม่ไหว ฉันปวดขามาก ปวดจนร้องไห้ เมื่อตื่นเช้าเราก็พากันกางเต้นท์ใหม่และก็หาผ้าใบมาคุมเต้นท์ไว้ เมื่อเสร็จแล้วก็พากันอาบน้ำ ทานข้าว และก็ออกเดินทาง ซึ่งเราจะพากันไปเที่ยว ผาหล่มสัก ไปดูพระอาทิตย์ตก

ระยะทางในการเดินจากที่พักไปผาหล่มสักนั้น ประมาณ 9 กิโลเมตร ซึ่งระหว่างทางไปก็จะผ่านผาต่างๆ ดังนี้ 


















ยังเหลืออีกประมาณ สองสามผา ที่ไม่ได้ถ่ายรูป เมื่อมาถึงผาหล่มสักก็พากันถ่ายรูปและนั่งรอดูพระอาทิตย์ตก 


หลังจากที่ดูพระอาทิตย์ตกแล้วก็พากันเดินกลับที่พัก ซึ่งมืดมากระหว่างทางก็ได้ยินเสียงสัตว์ต่างๆ น่ากลัวแต่ก็ยังดีที่มีคนเดินด้วยเยอะอยู่ ไปถึงที่พักประมาณ 21.30 น. ก็พากันอาบน้ำแล้วก็ทานข้าว แล้วก็กลับมานอนที่เต้นท์

เช้าวันรุ่งขึ้น ก็พากันเก็บของเก็บเต้นท์เพื่อเตรียมตัวกลับ ขากลับไม่ได้ฝากของให้ลูกหาบต้องแบกลงเอาเอง เสียดายที่ไปเที่ยวยังไม่หมด เหลือน้ำตกที่ยังไม่ไป ขากลับลงมาถึงประมาณ 16.00 น. ก็กลับไปพักที่บ้านเพื่อน นอนบ้านเพื่อนคืนนึงพอเช้าแล้วค่อยกลับหมาสารคาม

การเดินทางครั้งนี้ได้อะไรหลายๆอย่าง เช่น การวัดความสามารถของตัวเอง  การดูแลซึ่งกันและกันของเพื่อน  การได้สัมผัสและเข้าถึงกับธรรมชาติ  ได้มุมมองความคิดในหลายๆด้านเพิ่มขึ้น ได้ปลดปล่อยความกังวลใจ และความไม่สบายใจต่างๆ เป็นต้น  ที่สำคัญ ได้ความรักกลับมาด้วย ^_^




วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2553

รู้จักกับผู้เขียน


นางสาวชุติมา   สุขเสริญ


ชื่อเล่น : เหมียว

เรียนสาขาวิชาการจัดการสิ่งแวดล้อมและทรัพยากร

คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์

มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

ความสนใจ : KITTY

งานอดิเรก : ดูหนัง  ฟังเพลง